กลางสัปดาห์ที่แล้วพี่ยีนบอกข่าวว่าวันที่ 11 จะไปออกโรงทานงานเตียวขึ้นวัดพระพุทธบาทสี่รอย ตอนแรกที่ฟังก็ไม่คิดจะไปเพราะอยากเคลียร์งานตำรา อีกทั้งในวันรุ่งขึ้นหลังบอกข่าวพี่ยีนก็บอกว่าไปไม่ได้แล้วเพราะเจ้าของบ้านมา แต่พอคิดไปคิดมาปีนี้งานประเพณีอุตส่าห์ตรงกับวันหยุดซึ่งไม่รู้ว่าปีหน้าและปีต่อๆ ไปจะตรงกับวันหยุดอย่างนี้อีกรึเปล่า อย่างปีที่แล้วตอนขับรถพาแนนกับเจี๊ยบไปเที่ยวได้ใบประชาสัมพันธ์งานมาก็ตรงกับวันทำงานจึงอด ครั้งนี้ก็เลยตัดสินใจไป จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบงานประเพณีแห่แหนที่คนเยอะๆ หรอกแต่เพราะมีกิจกรรมเดินจากวัดหนองก๋ายที่เชิงเขาขึ้นวัดพระบาทซึ่งห่างกัน 16 กิโลนี่แหละจึงอยากไป ถือโอกาสออกกำลังกายเบิร์นไขมันไปในตัว มากกว่าบุญขอเบิร์นซัก 2-3 โล
กำหนดการเดินเขียนไว้ว่าเริ่มเวลา 21:00 แต่พอถึงเวลาพิธีเจริญพระพุทธมนต์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จซะที เมืองไทยเรานี่หาองค์กรที่ตรงต่อเวลายากจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่วัด จนเกือบห้าทุ่มก็ยังไม่ตั้งขบวน ตอนนั้นฉันเห็นบางคนเริ่มออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วจึงเอาบ้าง ดูเวลาที่เริ่มเดินประมาณ 22:40
เส้นทางไปวัดพระบาทราดคอนกรีตหมดแล้ว สะดวกสบาย และยังมีไฟฟ้าเกือบตลอดทาง ยกเว้นบางช่วงแต่เมื่อคืนเป็นคืนเดือนหงายทำให้มองเห็นทางได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฉาย ทำให้รู้ว่าคนสมัยก่อนเวลาเดินทางอาศัยพระจันทร์อย่างนี้เอง ตลอดเส้นทางมีโรงทานของผู้มีจิตศรัทธาตั้งอยู่ไม่ขาด ห่างกันบ้างเป็นช่วงๆ ฉันเดินบริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ ไม่เคยต้องหยุดพักเหนื่อยหรือแวะทานอะไรระหว่างทางเลย นอกจากน้ำใบเตยหนึ่งแก้วกับน้ำขวดเล็กขอติดตัวไว้ กินมากกลัวจะจุก จนกระทั่งมาถึง กม. ที่ 7 ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพี่ยีนมาออกโรงทาน อ้าว ไหนว่ามาไม่ได้แล้ว แต่ก็ดีใจที่ได้พบ ยืนพูดคุยกันอยู่สักพักก็ออกเดินทางต่อ เป็นการหยุดพักโดยไม่ตั้งใจเพียงครั้งเดียว
ฉันมาถึงหน้าวัดเมื่อเวลา 2:40 ของวันนี้ หลังจากเดินขึ้นๆ ลงๆ เนินเขาไม่รู้กี่ครั้ง ใช้เวลาเดินไปราวๆ 4 ชั่วโมง ก็ตกเป็นว่าหนึ่งชั่วโมงเดินได้ 4 กิโลเมตร รู้สึกฟินมาก แม้ว่าฝ่าเท้าจะพองเล็กน้อยเพราะชะล่าใจใส่แตะด้วยเห็นว่าทางราดคอนกรีตหมด จริงๆ ฉันชอบเดินมากกว่าวิ่งอีก แต่เสียดายที่รายการ Sport Tourism บ้านเราเขาไม่ค่อยจัด hiking หรือ trekking นิยมจัดงานวิ่งเสียมากกว่า ฉันเลยต้องอาศัยเดินกับงานประเพณีประจำปีแบบนี้
ขณะอยู่ในวัดพี่ยีนส่งไลน์ตอบมาว่าขบวนแห่น้ำสรงรอยพระบาทยังเคลื่อนมาไม่ถึงที่ตั้งโรงทานของพี่เลย นั่นหมายความว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง ฉันจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอใส่บาตรพระแล้วค่อยลงดอยเป็นไหว้รอยพระบาทแล้วหารถโดยสารกลับโลด (เดินลงไม่ไหว เท้าพอง) เพราะเกรงว่าถ้ารอคงกลับถึงบ้านสาย กว่าจะนอนพักกว่าจะได้ตื่นทำงานก็คงจะเกือบเย็นค่ำ รถสองแถวเหลืองก็รอให้ผู้โดยสารครบจำนวนอยู่นานกว่าจะได้ออกรถ แต่ก็ทำให้กลับถึงบ้านเวลา 6:00 ถือว่ายังเช้าอยู่
กำหนดการเดินเขียนไว้ว่าเริ่มเวลา 21:00 แต่พอถึงเวลาพิธีเจริญพระพุทธมนต์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จซะที เมืองไทยเรานี่หาองค์กรที่ตรงต่อเวลายากจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่วัด จนเกือบห้าทุ่มก็ยังไม่ตั้งขบวน ตอนนั้นฉันเห็นบางคนเริ่มออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วจึงเอาบ้าง ดูเวลาที่เริ่มเดินประมาณ 22:40
เส้นทางไปวัดพระบาทราดคอนกรีตหมดแล้ว สะดวกสบาย และยังมีไฟฟ้าเกือบตลอดทาง ยกเว้นบางช่วงแต่เมื่อคืนเป็นคืนเดือนหงายทำให้มองเห็นทางได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฉาย ทำให้รู้ว่าคนสมัยก่อนเวลาเดินทางอาศัยพระจันทร์อย่างนี้เอง ตลอดเส้นทางมีโรงทานของผู้มีจิตศรัทธาตั้งอยู่ไม่ขาด ห่างกันบ้างเป็นช่วงๆ ฉันเดินบริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ ไม่เคยต้องหยุดพักเหนื่อยหรือแวะทานอะไรระหว่างทางเลย นอกจากน้ำใบเตยหนึ่งแก้วกับน้ำขวดเล็กขอติดตัวไว้ กินมากกลัวจะจุก จนกระทั่งมาถึง กม. ที่ 7 ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพี่ยีนมาออกโรงทาน อ้าว ไหนว่ามาไม่ได้แล้ว แต่ก็ดีใจที่ได้พบ ยืนพูดคุยกันอยู่สักพักก็ออกเดินทางต่อ เป็นการหยุดพักโดยไม่ตั้งใจเพียงครั้งเดียว
ฉันมาถึงหน้าวัดเมื่อเวลา 2:40 ของวันนี้ หลังจากเดินขึ้นๆ ลงๆ เนินเขาไม่รู้กี่ครั้ง ใช้เวลาเดินไปราวๆ 4 ชั่วโมง ก็ตกเป็นว่าหนึ่งชั่วโมงเดินได้ 4 กิโลเมตร รู้สึกฟินมาก แม้ว่าฝ่าเท้าจะพองเล็กน้อยเพราะชะล่าใจใส่แตะด้วยเห็นว่าทางราดคอนกรีตหมด จริงๆ ฉันชอบเดินมากกว่าวิ่งอีก แต่เสียดายที่รายการ Sport Tourism บ้านเราเขาไม่ค่อยจัด hiking หรือ trekking นิยมจัดงานวิ่งเสียมากกว่า ฉันเลยต้องอาศัยเดินกับงานประเพณีประจำปีแบบนี้
![]() |
พระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้าที่อุบัติแล้วในภัทรกัปป์นี้ |
![]() |
นมัสการรอยพระพุทธบาท |
ขณะอยู่ในวัดพี่ยีนส่งไลน์ตอบมาว่าขบวนแห่น้ำสรงรอยพระบาทยังเคลื่อนมาไม่ถึงที่ตั้งโรงทานของพี่เลย นั่นหมายความว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง ฉันจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอใส่บาตรพระแล้วค่อยลงดอยเป็นไหว้รอยพระบาทแล้วหารถโดยสารกลับโลด (เดินลงไม่ไหว เท้าพอง) เพราะเกรงว่าถ้ารอคงกลับถึงบ้านสาย กว่าจะนอนพักกว่าจะได้ตื่นทำงานก็คงจะเกือบเย็นค่ำ รถสองแถวเหลืองก็รอให้ผู้โดยสารครบจำนวนอยู่นานกว่าจะได้ออกรถ แต่ก็ทำให้กลับถึงบ้านเวลา 6:00 ถือว่ายังเช้าอยู่
อ้อ เกือบลืม! ตอนไปถึงวัดหนองก๋ายและเดินผ่านลานพิธีที่มีรูปปั้นครูบาศรีวิชัย ฉันขนลุกซู่เหมือนตอนกราบหุ่นขี้ผึ้งท่านที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งสยามอีกแล้ว ดูท่าฉันต้องเคยมีกรรมสัมพันธ์กับท่านแน่ อาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านละมั้ง ท่านจึงดลใจให้มา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น